ว่าด้วยเรื่องยาง ที่มาจาก Carvariety น่าสนใจครับ
ขับอย่างไรเพื่อยืดอายุยาง 1. อย่าออกรถและหยุดรถอย่างรุนแรง 2. อย่าหักเลี้ยวพวงมาลัยอย่างรุนแรง 3. อย่าขับรถปีนขอบถนน หรือขับเบียดฟุตบาท 4. ขณะขับรถ ควรระวังหลุม ก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวาง 5. เติมลมยางให้เหมาะสมตามสเปกที่รถยี่ห้อนั้นกำหนด 6. ตรวจสอบลมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง 7. สลับยางและถ่วงล้อตามระยะเวลา และระยะทางที่กำหนด ทำไม ? ให้ช่างเปลี่ยนยางให้ การใส่ยาง เป็นงานที่อาศัยความชำนาญ และความละเอียด บริเวณขอบยางซึ่งติดกับกะทะล้อเป็นส่วนที่จะฉีกขาดได้โดยง่าย หากผู้ใส่ยางขาดความชำนาญ รอยฉีกขาดบริเวณขอบยางเล็ก ๆ จะทำให้ลมยางซึมออกตลอดเวลา นอกจากนี้การใส่ยางเข้ากะทะล้อผิดวิธี อาจมีผลทำให้ยางระเบิด หรือหลุดจากกะทะล้ออันก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ และเมื่อใส่ยางแล้ว ยังต้องมีการเติมลม ถ่วงล้อ และตั้งศูนย์อีกด้วย ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและการสึกของยาง เนื่องจากยางคู่หน้า ของรถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนของรถยนต์ การบังคับทิศทางการเลี้ยวของรถ และการเบรกหยุดรถ ทำให้ยางคู่หน้าจะสึกเร็วกว่ายางคู่หลัง โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 เท่า การใช้รถยนต์โดยไม่สลับยาง หรือสลับยางไม่ถูกต้อง จะทำให้ยางทั้ง 4 เส้นสึกไม่เท่ากัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนขณะขับขี่และเกิดอาการสั่นสะท้านได้ ควรนำรถเข้าตรวจสอบสภาพยาง และสลับยาง ตามระยะทางและเส้นทาง คำแนะนำเพื่อการใช้งานของยาง ด้วยความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การผลิตยางจากโรงงานผลิตชั้นนำมีความหลากหลายสำหรับผู้ใช้รถมากขึ้น และมีการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องทั้งคุณสมบัติในการยึดเกาะถนน การเข้าโค้ง ความนุ่มนวลสบายในการขับขี่ และการเบรกหยุดรถ ยางเป็นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นถนน ไม่ว่าในสภาพถนนเปียก แห้ง ทางเรียบ หรือขรุขระ การดูแลเอาใจใส่ยาง และมีเกร็ดความรู้เรื่องยางสักเล็กน้อย จะช่วยให้การขับขี่ของท่านปลอดภัย และประหยัดยิ่งขึ้น ความดันลมยาง ยางทุกเส้นต้องเติมลมก่อนใช้งาน เพื่อลดแรงกระแทกระหว่างรถยนต์ และพื้นถนน การเติมลมยางให้ได้อัตราที่ถูกต้อง คือ สิ่งสำคัญ ไม่ควรเติมลมยางมากเกินไป หรืออ่อนเกินไปโดยปกติแล้วโรงงานผู้ผลิตรถยนต์จะกำหนดอัตราสูบลมที่ถูกต้อง และเหมาะสมสำหรับรถแต่ละชนิด โดยจะระบุไว้บนแผ่นโลหะหรือสติกเกอร์ที่ติดบริเวณของประตู หรือเสากลางข้างตัวรถหรือติดไว้ในช่องเก็บของภายในรถ ลมยางทุกเส้นจะอ่อนลงเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ดังนั้นผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบ และเติมลมยางสม่ำเสมอทุกเดือน การเติมลมยางควรเติมขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือวิ่งไม่เกิน 1.5 – 2 กิโลเมตร การตรวจเช็กลมยางควรใช้เกจวัดลมที่ได้มาตรฐาน ฝาวาล์วยาง ควรปิดฝาวาล์วยาง (จุ๊บลม) ให้สนิทตลอดเวลา เพื่อป้องกันเศษดิน ฝุ่น และความชื้นซึมเข้าในยาง และป้องกันกันลมซึมออกทางวาล์ว ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียต่ออายุการใช้งานของยางได้ ความดันลมและการขับเคลื่อน การเติมลมยางที่ถูกต้องตามกำหนด จะทำให้ดอกยางทุกส่วนสัมผัสผิวถนนอย่างสม่ำเสมอ ช่วยรักษายางให้ใช้ได้นานตลอดอายุ เพิ่มความนุ่มนวลและปลอดภัยขณะขับขี่และประหยัดค่าน้ำมันอีกด้วย การเติมลมมากเกินไป ทำให้หน้ายางเกาะถนนได้ไม่เต็มที่ เกิดการสะเทือนมากกว่าปกติ เนื่องจากความยืดหยุ่นของยางลดลง ทำให้โครงสร้างยางเสียหาย เนื่องจากผ้าใบตึงเครียดยางถูกบาดง่ายและดอกยางตอนกลางสึกเร็วกว่าด้านข้างทั้งสอง การเติมลมน้อยเกินไป ทำให้แก้มยางมีการยืดและหดตัวมากกว่าปกติ เป็นสาเหตุของการเกิดความร้อนสูงมากทำให้ยางร่อนหรือผ้าใบหักง่าย และดอกยางด้านข้าง ทั้งสองสึกเร็วกว่าตอนกลาง คำแนะนำของการเติมลมยาง การเติมลมยางทั้ง 4 เส้นไม่เท่ากัน อาจส่งผลให้รถยนต์เสียการควบคุม เมื่อเบรกหยุดหรือเร่ง ระดับความเร็ว ความสมดุลของล้อรถเสีย และทำให้ยางสึกไม่เรียบ รถอาจเสียหลักหมุนเมื่อเหยียบเบรกกะทันหัน การสลับยาง การสลับยาง เพื่อให้ยางทุกเส้น มีการสึกที่เท่ากัน โดยปรกติรถทุกคันควรสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร หากยางเกิดการสึก ความสมดุลของล้อรถ ตลอดจนระบบช่วงล่าง จะเสียหายเร็วกว่าปกติ การถ่วงล้อ การถ่วงล้อที่ไม่สมดุล จะส่งผลให้พวงมาลัยสะท้านขณะขับรถที่อันมีผลเสียต่ออายุการใช้งานของยาง และคุณสมบัติการเกาะถนนระบบช่วงล่างของรถและโช้กอัพ ตลอดจนความนุ่มนวลในการขับขี่การถ่วงล้อจะช่วยให้เกิดการกระจายน้ำหนักอย่างถูกต้องของยางและกะทะล้อ และทำให้ยางเกิดการสึกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อใดควรทำการถ่วงล้อรถ 1. เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้ง 2. เมื่อมีการสลับยาง หรือสลับกะทะล้อ 3. เมื่อนำยางที่ใช้แล้วมาใส่กะทะล้อที่ใช้อยู่ 4. เมื่อยางแตก และได้รับการปะยางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 5. เมื่อมีการถอดยางออกจากะทะล้อ หรือใส่ยางกลับเข้ากะทะล้อ 6. เมื่อเกิดการสั่นสะท้านขณะที่รถวิ่ง 7. เมื่อยางเกิดการสึกไม่สม่ำเสมอ ควรตรวจเช็กสภาพยางเป็นประจำ ยางรถยนต์ล้วนสึกหรอตามสภาพการใช้งาน แม้จะเป็นยางเส้นใหม่ การนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพยางเป็นประจำจะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ จึงควรตรวจสอบสภาพดอกยางและแก้มยาง รอยบาดหรือฉีกขาด รอยรั่วจากตะปู เป็นต้น การเปลี่ยนยางใหม่ จะสามารถเปรียบเทียบได้กับการซื้อรถใหม่ เพราะยางก็เช่นเดียวกันกับรถ ต้องการผู้เชี่ยวชาญ ในการติดตั้ง ตรวจสอบและบำรุงรักษา ผู้ใช้รถยนต์ควรเปลี่ยนยางเส้นใหญ่ทุก ๆ 2 ปีหรือ 50,000 กิโลเมตร หรือเมื่อดอกยางคงเหลือ 2 มิลลิเมตร เนื่องจากประสิทธิภาพการรีดน้ำจะลดลงตามสภาพดอกยางที่ลดลง การสึกของดอกยางที่ควรจะเปลี่ยนยางใหม่ การสึกของดอกยาง 1. การสึกลับลักษณะเป็นเกล็ดปลาเกิดจากการตั้งมุมโทไม่ได้ตามมาตรฐานรถ 2. การสึกเฉพาะบริเวณไหล่ยางทั้งสองข้างเกิดจากการเติมลมยางอ่อนเกินไป ไม่ได้รับการสลับยางตามกำหนดหรือเข้าโค้งโดยใช้ความเร็วสูง 3. การสึกเฉพาะบริเวณตอนกลางของยาง เกิดจากการเติมลมยางมากเกินไป หรือไม่ได้รับการสลับยางตามกำหนด 4. การสึกเฉพาะบริเวณไหล่ยางด้านหนึ่ง เกิดจากมุมแคมเบอร์เป็นบวกหรือลบมากเกินไป 5. การสึกคล้ายฟันเลื่อย เกิดจาก โท-อิน ผิดปกติ 6. ยางหน้าหรือยางหลังสึกเร็วกว่าปกติ หากยางหลังสึกไม่สม่ำเสมออาจเกิดจากน้ำหนักบรรทุกไม่เพียงพอที่เพลาหลัง ทำให้ยางเสียหาย หรืออาจเกิดจากศูนย์ล้อผิดปรกติหากยางหน้าสึกเร็วกว่ายางหลัง อาจเกิดจากล้อหน้าต้องรับน้ำหนักมากกว่าล้อหลังเสมอควรสลับตำแหน่งยางทั้ง 4 เส้น เพื่อให้ยางทุกเส้นมีอัตราการสึกเท่ากัน 7. การสึกเป็นจ้ำ ๆ รอบเส้น อาจเกิดจากความผิดพลาดในการตั้งศูนย์ล้อ ความสึกหรอของระบบกันสะเทือน หรือปัญหาจากระบบช่วงล่าง 8. การสึกคล้ายเกิดรอยแตกบนดอกยาง เกิดจากการใช้น้ำหนักบรรทุกเกินไป ใช้ความเร็วสูงขณะขับขี่ หรือการเติมลมยางไม่สม่ำเสมอ โดยบางครั้งเติมลมอ่อน และบางครั้งเติมลมมากเกินไป |