สิ่งที่ควรรู้ในการใช้ยางสำหรับรถคุณ

Q: โดยทั่วไปควรตรวจสอบลมยางบ่อยแค่ไหน ?
A: ตามปกติผู้ใช้รถควรตรวจสอบลมยาง ประมาณ 1 ครั้ง ต่อเดือน ในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ และควรเติมลมยางตามข้อกำหนดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์แต่ละยี่ห้อ 

Q: ถ้าต้องการเปลี่ยนขนาดยางจากขนาดมาตรฐานที่ติดรถยนต์มา จะสามารถเปลี่ยนได้อย่างไร ? 
A: การเปลี่ยนจะต้องคำนึงถึงเส้นผ่าศูนย์กลางของยางเดิมที่ติดรถมา โดยเส้นผ่าศูนย์กลางของยางขนาดใหม่ให้มีขนาดเท่ายางเดิม หรือใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด และสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หน้า Technique ในเรื่องการเปลี่ยนขนาดยาง 


Q: ดอกยางสึกไม่เรียบ เกิดจากสาเหตุใดบ้าง แก้ไขอย่างไร ? 
A: 1. เกิดจากการสูบลมยางไม่เหมาะสมกับการใช้งาน
2. สภาพช่วงล่างของรถยนต์ บกพร่อง ไม่สมบูรณ์ เช่น ศูนย์ล้อผิดปกติ หรือการสึกหรอของระบบรองรับน้ำหนัก
3. เกิดจากสภาพการขับขี่ที่รุนแรง เช่น ออกรถ หรือหยุดรถอย่างกระทันหัน  


Q: การตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ควรทำบ่อยแค่ไหน ? 
A: ควรทำการตรวจเช็คทุกๆ 4-6 เดือน หรือทุกครั้งที่สังเกตเห็นยางสึกหรอผิดปกติ และ ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ 


Q: ควรสลับยางเมื่อใช้แล้วกี่ กม. ? 
A: ถ้าเป็นยางแบบโครงสร้างธรรมดา สลับทุก 5,000 กม.
ถ้าเป็นยางแบบโครงสร้างเรเดียล สลับทุก 10,000 กม. 


Q: ยางที่มีซีรี่ส์สูง เช่น 70, 65, 60 และต่ำ เช่น 55, 50, 45 คุณสมบัติต่างกันอย่างไร ? 
A: ยางที่มีซี่รี่ส์สูง เช่น 70, 65, 60 จะให้ความนุ่มนวลในการขับขี่มากกว่ายางซีรี่ส์ต่ำ 
แต่ยางที่มีซีรี่ส์ต่ำ เช่น 55, 50, 45 จจะยึดเกาะถนน และทรงตัวได้ดีกว่าในขณะใช้ความเร็วสูงๆ 


Q: ยางที่ติดรถยนต์มาจากโรงงานประกอบรถ มีคุณสมบัติเหมือนยางที่ขายในร้านยางทั่วไปหรือไม่ ? 
A: ถ้าเป็นยางขนาดและรุ่นเดียวกัน ก็จะเหมือนกันทุกประการ 


Q: ยาง 4 ประเภท คือ A/T, M/T, H/T and H/P ว่ามีความหมายอย่างไร และมีความแตกต่างอย่างไร 
A: A/T = ALL TERRAIN : เป็นยาง 4×4 สำหรับทุกสถานภาพถนน ทั้ง ON ROAD และ OFF ROAD ให้การทรงตัวที่ดี รวมทั้งสามารถขับขี่บนถนนที่ขรุขระได้ด้วย

M/T = MUD TERRAIN : เป็นยาง 4×4 ที่ถูกออกแบบสำหรับ OFF ROAD โดยเฉพาะ มีดอกยางใหญ่ และร่องลึกพิเศษ ให้แรงกรุยสูง เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนในสภาพถนนที่ขรุขระเป็นโคลนตม ทุรกันดาร

H/T = HIGHWAY TERRAIN : เป็นยาง 4×4 สำหรับถนนทางเรียบที่ให้ความนุ่มนวลมากกว่า และสามารถยึดเกาะถนนได้ดีกว่าด้วย

H/P = HIGHWAY PERFORMANCE : เป็นอีกประเภทหนึ่งของยาง HIGHWAY TERRAIN ที่ถูกออกแบบสำหรับ ONROAD โดยเฉพาะ ให้ความนุ่มนวลเพิ่มขึ้นในการขับขี่ และมีประสิทธิภาพในการเกาะถนนขณะใช้ความเร็วสูง 


Q: วิธีการดูวัน เดือน ปี ที่ผลิตยาง ดูได้ที่ไหน อย่างไร 
A: ยางบริดจสโตนและไฟร์สโตน สามารถสังเกตดู เดือน ปีที่ผลิตได้ ได้ตามวิธีดังต่อไปนี้
1) สังเกตดูตราประทับวงกลมเล็กๆ สีเหลืองที่แก้มยาง ซึ่งจะมีตัวเลขบอกความหมายต่างๆ ดังนี้
2) สังเกตดูที่ตัวอักษรหมายเลขยาง (Serial Number) ที่ประทับไว้บริเวณขอบยาง ซึ่งจะมีความหมาย ดังนี้


Q: สาเหตุของการบวมล่อนของยางรถยนต์ มาจากสาเหตุใด 
A: 1) การใช้ความดันลมยางที่ไม่เหมาะสมกับน้ำหนักบรรทุก (ใช้น้อยเกินไป)
2) บรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กำหนด (เกินความสามารถของยาง)
3) ขับขี่ด้วยความเร็วสูงเกินพิกัดเป็นเวลานานๆ
4) ถูกสิ่งมีคมบาดหรือตำที่หน้ายาง แล้วไม่ได้ทำการปะซ่อม ทำให้เกิดการบวมล่อนในภายหลัง
5) ยางถูกกระแทกอย่างรุนแรงเกินกว่าปกติ จนโครงยางชำรุด แล้วบวมล่อนออกมา
6) เกิดจากความบกพร่องในกระบวนการผลิต 


Q: โดยทั่วไป ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานประมาณเท่าไหร่ 
A: โดยปกติ การพิจารณาเปลี่ยนยางรถยนต์ จะดูที่ความลึกร่องดอกยางคงเหลือ ถ้าเหลือเพียง 1.6 ม.ม. ก็ควรถอดเปลี่ยนยางเส้นใหม่ โดยสังเกตุในร่องดอกยาง จะพบว่ามีสันนูนเล็กๆอยู่รอบวงยาง ซึ่งสันนูนดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดอายุการใช้งานของยางเส้นนั้น คือ ถ้าหากดอกยางสึกหรอจนกระทั่งถึงสันนูนในร่องยาง หรือ ความลึกร่องดอกยางเหลือประมาณ 1.6 ม.ม. ก็ถือได้ว่า ยางนั้นหมดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ ถ้าหากตรวจพบว่า เนื้อยางมีความแข็งกระด้างมากจนทำให้ความรู้สึกว่ายางไม่ค่อยเกาะถนน ก็ควรถือว่ายางนั้นหมดอายุการใช้งานเช่นกัน หรือถ้ายางเกิดการชำรุดเสียหาย จนไม่สามารถซ่อมแซมได้ก็ถือว่ายางเส้นนั้นหมดอายุการใช้งาน เช่นกัน หรือ ถ้าหากพบว่าเกิดการบวมล่อนที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของยาง ก็ถอดเปลี่ยนได้ทันที เพื่อความปลอดภัย สำหรับระยะทางที่วิ่งได้เป็นเลขกิโลเมตร จึงไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัด ว่าสมควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่หรือยัง เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดการสึกหรอของดอกยาง สำหรับผู้ใช้แต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ได้แก่
1. การบรรทุกน้ำหนัก                
2. ความดันลมยาง              
3. ความเร็วในการขับขี่        
4. สภาพผิวถนน
5. อุณหภูมิสภาพอากาศ
6. สภาพรถยนต์ เช่น ระบบช่วงล่าง และศูนย์ล้อ
7. การหยุดรถและออกรถ 


Q: การเติมลมด้วยก๊าซไนโตรเจน มีข้อดีอย่างไร 
A: ก๊าซไนโตรเจนเป็นก๊าซชนิดหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติไร้รส, กลิ่น, สี สามารถนำมาใช้เติมลมยางรถยนต์ได้ ซึ่งทำให้เกิดประโยชน์ในการใช้งาน ดังนี้
1) ไนโตรเจน จะไม่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำภายในยาง จึงช่วยยืดอายุโครงยาง และกระทะล้อไม่ให้เกิดสนิม
2) ไนโตรเจน จะซึมออกจากยางได้ยากกว่าลมปกติทั่วไป จึงช่วยยืดระยะการตรวจเช็คลมยางได้นานกว่าเดิม

Q: การเติมลมยางที่เหมาะสมควรเติมเท่าใด 
A: ความดันลมยางที่เหมาะสมของรถยนต์แต่ละรุ่นนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในหนังสือคู่มือประจำรถ หรือดูจากคำแนะนำที่ติดอยู่ข้างประตูรถ หรือฝาถังน้ำมัน ก็ได้เหมือนกัน ในขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือจอดรถทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นค่าความดันลมยางที่ได้จากการทดสอบจากบริษัทรถยนต์แล้วว่า เหมาะสม ปลอดภัยต่อการใช้งานในสภาวะปกติทั่วไป 


Q: ถ้าต้องการจะเปลี่ยนขนาดยาง จะต้องคำนึงถึงปัจจัยอะไรบ้าง และมีวิธีคำนวณอย่างไร 
A: การเปลี่ยนแปลงขนาดยางโดยที่ขนาดยางเส้นใหม่มีความแตกต่างไปจากขนาดเดิม มีจุดที่จะต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการ คือ
1. ความสามารถในการรับน้ำหนัก ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม และ
2. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงกับขนาดเดิมด้วย

สำหรับหลักเกณฑ์ในการเปลี่ยนขนาดยางที่ถูกต้องเหมาะสม
ก. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกะทะล้อเท่าเดิม
หมายถึงขนาดยางที่จะเปลี่ยนใหม่กับขนาดยางเดิม มีเส้นผ่าศูนย์กลางกะทะล้อเท่ากัน ซึ่งในการเปลี่ยนตามหลักเกณฑ์นี้ให้ใช้สูตรในการคำนวณขนาดยางที่จะเปลี่ยนใหม่ ดังนี้
“ซีรี่ส์ลดลง 10 ให้เพิ่มความกว้างยาง 20 ม.ม.”
ยกตัวอย่างเช่น ยางขนาดเดิม คือ 185/70R13 ยางขนาดใหม่ที่เหมาะสมคือ 205/60R13 ซึ่งยางขนาดใหม่นี้มีความสามารถในการรับน้ำหนัก และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยางที่ใกล้เคียงกับขนาดยางเดิม
แต่ถึงแม้ว่าเส้นผ่าศูนย์กลางกะทะล้อจะเท่าเดิม แต่ความกว้างกะทะล้อที่เหมาะสมกับยางทั้ง 2 ขนาดนี้ ไม่เหมือนกัน คือ
ยางขนาด 185/70R13 ความกว้างกะทะล้อมาตรฐาน คือ 5 นิ้ว
ยางขนาด 205/60R13 ความกว้างกะทะล้อมาตรฐาน คือ 6 นิ้ว
ข. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกะทะล้อเพิ่มขึ้น 1 นิ้ว
หมายถึงขนาดยางที่จะเปลี่ยนใหม่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกะทะล้อโตกว่าขนาดเดิม 1 นิ้ว ก็ให้ใช้สูตรในการคำนวณขนาดยางที่จะเปลี่ยนใหม่ ดังนี้
“ซีรี่ส์ลดลง 10 ให้เพิ่มความกว้างยาง 10 ม.ม.”
ยกตัวอย่างเช่น ยางขนาดเดิม คือ 185/70R13 ยางขนาดใหม่ที่เหมาะสมคือ 195/60R14 ซึ่งยางขนาดใหม่นี้มีความสามารถในการรับน้ำหนัก และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยางที่ใกล้เคียงกับขนาดยางเดิม

หมายเหตุ วิธีคำนวณการเปลี่ยนขนาดยางนี้เป็นการอ้างอิงตามทฤษฎี ในทางปฏิบัติควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทผู้ผลิตยางอีกครั้ง

Login